เรียน..สอบถามท่านด.ร.
นิพพานของวิชชาธรรมกาย เป็นอัตตา หรืออนัตตาค่ะ ?
แต่เท่าที่อ่านจากบทความของท่านคาดว่า น่าจะเป็นอัตตานะคะ เพราะสามารถจับต้องได้
โดยท่านบอกว่า ถ้ามีอะไรใหม่ๆ บนนิพพาน กลุ่มของพวกท่านจะต้องรู้แน่ๆ และรู้อยู่กลุ่มเดียวด้วยเพราะ เราขึ้นนิพพานกันเป็นประจำ ต้องรับงานมาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ กับ พระพุทธเจ้าเป็นประจำ
ที่ว่าขึ้นนิพพานกันเป็นประจำนั้น รวมถึงลูกศิษย์ที่เราสอนด้วย เพราะ การสอนวิชชา 18 กาย ต้องขึ้นนิพพาน แสดงว่า นิพพานของธรรมกายนั้นมีอยู่จริง แต่สงสัยคงเป็นแบบโลกิยธรรม ไม่ใช่โลกุตรธรรม
รบกวนให้ท่าน ด.ร. ช่วยไปอ่านในวักกลิสูตรว่า " ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต "
เรื่องอัตตา ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ ในวักกลิสูตรที่ว่าไว้ดั่งพระพุทธองค์ดำรัส พระวักกลิ เป็นผู้ที่หลงใหลในรูปลักษณ์ความงดงามของพระองค์มากจนกระทั่งพระพุทธองค์ต้องขับออกจากสำนักไป เนื่องจากไม่ฝักใฝ่ในธรรมะอย่างแท้จริง
ด้วยความโทมนัสจึงจะไปกระโดดหน้าผาตาย พระพุทธองค์ตามไปพบเทศนาสั่งสอนเรื่อง "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต" เพื่อให้พระวักกลิถ่ายถอน ความยึดมั่นถือมั่น ในตัวพระองค์หันมาน้อมนำในพระธรรมคำสั่งสอนแทน จนสามารถบรรลุธรรมได้ในบัดนั้น
การเห็นอย่างธรรม คือเห็นให้ลึกและกว้าง เห็นแบบธรรมชาติ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเข้าใจหลักแห่ง ปัจจยตา เมื่อมีสิ่งนั้นย่อมมีสิ่งนี้ การเห็นเช่นนี้ สัมผัสได้ทุกอณูของร่างกาย ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะแบบไหน อริยาบถ 4 ยืน เดิน นั่ง นอน
มีสติและปัญญาระลึกได้อยู่ตลอด ต้องปฎิบัติเองคือ..ใครกินใครอิ่ม....การเข้าใจธรรมมี 2 นัยยะ
1. เห็นแบบกะพี้....เปลือกนอก..ประเภทพิธีกรรม+อภินิหาร+ลาภสักการะ ไม่มีทางเข้าใจได้.......
บัวเกิดมาแต่ตม แต่พอโผล่พ้นน้ำก็ไม่มี ขี้ตม..ติดมาให้เห็น..แปลกแต่จริงนะคะ..การพิจารณาคน..กับบัว 4 เหล่าจึงชาญฉลาดมาก
2. เห็นแบบแก่น เข้าถึงอย่างจริงจัง รู้และเข้าใจหลักของธรรมชาติดีว่า มีความผันแปรไป ไม่มีอะไรเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวคะ สัมผัสได้แห่งองค์ความรู้ของตนเอง..กาย วาจา ใจ ไม่ใช่ในเชิงนิยามตามหลักวิทยาศาสตร์...
ดังนั้นดิฉันจึงสรุปได้ว่า นิพพานและพระอรหันต์ของวิชชาธรรมกายคงเป็นแบบอัตตาและโลกียธรรม..คงต้องพัฒนาต่อไปให้เป็นแบบอนัตตาและโลกุตรธรรมนะคะ
ผมได้ตอบคุณคุณ Benji2007 เมื่อ 07 พฤษภาคม 2554 13:06 ไปอย่างค่อนข้างสุภาพๆ เพราะเห็นว่าเป็นสุภาพสตรีว่า
เรียน คุณ Benji2007 [IP: 203.107.236.92]
ศึกษาและอ่านบันทึกของผมให้ครบก่อน แล้วค่อยมาให้ความเห็นไม่ดีกว่าหรือ..จะแสดงความโง่ให้ประชาชนรู้ เสื่อมเสียญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลนะคุณ
สายปฏิบัติของคุณ คำว่า "เห็น" คำเดียว คุณก็ไปไม่เป็นแล้ว อธิบายมั่วไปมั่วมา พอๆ สามล้อเมายาบ้าเลยทีเดียว
พระพม่าบอกว่า "ต้องเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม" อธิบายให้ครบได้หรือเปล่า.
อ่านให้มากกว่านี้ ... นะจ๊ะ...นะจ๊ะ...(เลียนแบบไชยบูลย์)..
ที่นี่ ตัวจริง เสียงจริง ของจริง และไม่หนีไปไหนด้วย
คุณอยู่สายอื่น มีความคิดแคบๆ อยู่ในกะลาตัวเมีย คุณจะมาสรุปคำสอนของสายวิชาธรรมกายได้อย่างไร
โปรดฟังคำเตือนครั้งที่ 1
อ่านให้มากก่อน ใช้วิชาความรู้ที่เคยเรียนมาทั้งหมด ดัวยหลักของเหตุและผล แล้วจึงเข้ามาถามใหม่
หลังจากตอบคำถามไป 3 วัน คุณ Benji2007 [IP: 203.107.236.92] ซึ่งเป็นสตรีไทยที่เก่งกล้าสามารถ มือซ้ายไกวเปล มือขวาถือดาบ เข้ามาแบบไม่กลัวตายว่า (10 พฤษภาคม 2554 17:41) ว่า
ถึง....คุณดอกเตอร์
ที่คุณถามว่า "ต้องเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม" ดิฉันอธิบายยังงัยคุณก็คงไม่รู้เรื่องและเข้าใจหรอก
ค่ะเพราะว่ามันเป็นปัจจัตตัง นะคะ รบกวนคุณคงต้องไปฝึกปฏิบัติเอาเองนะคะ...จึงจะทราบคะ ...และศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาสากล ไม่เคยแบ่งแยกว่าต้องเป็นคนชาติใด วรรณะใด
ทุกคนไม่ว่าคนไทย คนพม่า หรือชาติใดๆ ก็สามารถนับถือศาสนาพุทธได้ โดยยึดถือปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าค่ะ
แต่หลักการปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์จนเข้าถึงพระนิพพานแบบโลกุตรธรรม อาจจะมีวิธีการแตกต่างกันก็ได้คะ ไม่ควรจะไปโจมตีว่าของใครดีกว่าใคร พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญ
พวกอุตริมนุษยธรรมหรอกค่ะ
ดังนั้น “คนจะเลวเพราะชาติตระกูลก็หาไม่ คนจะดีเพราะชาติตระกูลก็หาไม่ แต่คนจะเลวก็เพราะการกระทำ คนจะดีก็เพราะการกระทำ” ค่ะ
ผมมันพวกเบื่อหน่ายคนโง่ ก็เลยตอบไปดังนี้ (10 พฤษภาคม 2554 20:01)
คุณ Benji2007 [IP: 203.107.236.92]
บอกตรงๆ ผมเหนื่อยหน่ายกับความโง่ของคุณซะแล้ว ต่อไปถ้าเขียนมา ต้องลบทิ้ง
บันทึกนี้ ผมวิพากษ์วิจารณ์สาวกของพระพม่า พวกนี้เข้าใจผิดไปว่า เดินไปเดินมา พิจารณาอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อยก็สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้แล้ว
พวกนี้ชอบชูเฉพาะสติปัฏฐาน 4 อธิบายแบบหน้าเลิศหน้าลอยว่า "ต้องเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม" แต่ไม่มีหนังสือฉบับของสาวกพระพม่าอธิบายได้อย่างถูกหลักวิชาการ แม้แต่เพียงเล่มเดียว
คุณเข้ามาเป็นฝ่ายตรงข้ามของผม ผมก็ให้คุณอธิบายซิว่า การเห็นกาย เวทนา จิต ธรรมนั้นเป็นอย่างไร
ผมเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะ วิชาธรรมกายอธิบายไว้อย่างถูกต้องตรงตามพระไตรปิฎก วิชาธรรมกายสอนว่า กายของมนุษย์แต่ละคน หลักๆ มี 18 กาย มีกายละเอียดๆๆๆๆๆๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน
ดังนั้น สายวิชาธรรมกายจึงสามารถอธิบายสติปัฏฐาน 4 ได้อย่างถูกต้อง คุณไม่รู้อะไรเลย แล้วมาเขียนให้ "รก" บันทึกของผมทำไม
แล้วที่บอกว่าเป็น "ปัจจัตตัง" นี่ก็โง่อีก โง่เหมือนพวกพุทธวิชาการที่คิดว่า "ปัจจัตตัง" สอนกันไม่ได้ ความรู้ที่เป็นปัจจัตตังนั้น สามารถสอนหรือสื่อความกันได้ว่า เป็นอย่างไร
ตัวอย่างที่ 1
เคยมีสามีไหมคุณ ไม่ใช่ทะลึ่งลามก เรื่องนี้ สมเด็จโต เป็นผู้เล่า (ตอนนี้สมเด็จโตอยู่ชั้นดุสิต)
สมเด็จโตเล่าว่า มีครอบครัวหนึ่ง มีลูกสาว 2 คน คนโตแต่งงานไปก่อน เมื่อกลับมาเยี่ยมบ้าน น้องสาวก็ถามแล้ว ถามอีกว่า "แต่งงาน" มันเป็นยังไง
พี่สาวก็ยิ้มไปยิ้มมา ไม่บอกว่า ... มันเป็นยังไง บอกแต่เพียงว่า แต่งงานแล้วก็รู้เอง
ต่อมาน้องสาวแต่งงานบ้าง เมื่อกลับมาเยี่ยมบ้าน พี่สาวก็ถามบ้างว่า "รู้หรือยังว่า แต่งงานมันเป็นยังไง" พี่น้องสองสาวก็หัวเราะคิกๆ คักๆ กันไป..
ที่ยกตัวอย่างมานี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์นี้ เป็นปัจจัตตังเหมือนกัน แต่สามารถเล่าสู่กันฟังได้
ไม่อย่างนั้น หนังสือโป๊ มันจะขายได้หรือ..
ตัวอย่างที่ 2
เรื่องนี้ก็ฟังเขามาอีกที ลูกสาวถามแม่ว่า "แม่ แต่งงานมันเป็นยังไง" แม่ก็บอกว่า "ลองเอาไม้ปั่นหูดูซิ"
ลูกสาวทำแล้ว ก็มาบอกแม่ว่า "แม่ หนูขอมีผัว 2 คนเลยนะ"
ตัวอย่างนี้ก็อยากจะบอกว่า เรื่องปัจจัตตังบางเรื่อง เราสามารถเลียนรู้โดยการเทียบเคียงกันได้
ตัวอย่างที่ 3 ของจริง
ความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอน ส่วนใหญ่ก็เป็น "ปัตจัตตัง" ทั้งนั้น พระพุทธเจ้ารู้จากการบำเพ็ญบารมีของพระองค์
ถ้า "ปัตจัตตัง" สอนกันไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าจะเผยแผ่ศาสนาได้อย่างไร จะมีพระอรหันต์สาวกได้อย่างไร
ต่อไป ถ้าเขียนไม่เข้าท่าเข้าทาง ผมลบความเห็นของคุณแน่ รกบันทึก ไร้สาระ
หลังจากตอบปัญหานั้นไปแล้ว คุณ Benji2007 เงียบกริบ หายไปอย่างรวดเร็วราวกามนิตหนุ่ม อาจจะมัวไปยุ่งหาสามี เพื่อทำตามนิทาน หรือจะไปแสดงหนังเรื่อง Benji ภาค 3D ก็ไม่รู้...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น